สมัยนี้การจะมีเว็บไซต์สักเว็บไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอีกต่อไปครับ เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือมาอำนวยความสะดวกมากมายเสียจนนับไม่ถ้วน นั่นก็เพราะว่าทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ต่างก็ใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นหนะสิครับ ทำให้การพัฒนาเว็บต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน
ในบรรดาประเภทเว็บไซต์ มีอยู่ประเภทหนึ่งที่เป็นเว็บประเภทสร้างรายได้ นั่นก็คือเว็บขายของ หรือ Ecommerce เว็บไซต์ครับ ไม่แปลกเหมือนกัน ที่ทุกวันนี้ก็มีเว็บขายของเยอะมาก ขายตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ แต่ในบรรดาเว็บไซต์ทั้งหลายเหล่านี้ที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ก็มีเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ วันนี้ผมจะมาเขียนเทคนิคสำหรับการทำเว็บ Ecommerce ของคุณให้ดูมีระดับและง่ายต่อการใช้งานมากขึ้นครับ
ลองจินตนาการดูว่า ตอนนี้คุณกำลังจะซื้ออะไรสักอย่าง อย่างแรกคุณก็คงพิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าลงในเว็บ google แล้วก็คลิกเว็บอันดับต้นๆที่ปรากฎขึ้นมาให้เห็นใช่ไหมครับ จากนั้นก็ดูว่าเว็บไซต์นั้นเป็นอย่างไรน้า? … ว้าว!! เว็บนี้ออกแบบได้สวยมากเลย ไหนลองคลิกดูรายละเอียดสินค้า สักหน่อย แต่อ้าว ทำไมใช้งานยากแบบนี้ … ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเจอเหตุการ์แบบนี้
การทำเว็บไซต์ขายของ ไม่เพียงแต่ทำให้ดูดีน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ต้องทำให้ใช้งานง่ายด้วย ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ทันท่วงทียิ่งดี ต่อไปนี้คือเทคนิคที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น
[thetext]ลูกค้าต้องสามารถเลือกได้[/thetext]
ยกตัวอยางเช่น คุณเปิดเว็บขายเสื้อผ้า ก็ควรจะมีออพชั่นให้เลือกว่า จะซื้อเสื้อเบอร์ไหน สีอะไรเป็นต้น ยิ่งถ้ามีระบบค้นหาตามสี ตามไซส์ ตามราคาได้ ยิ่งดีครับ เพราะว่าเป็นการประหยัดเวลาของลูกค้า และให้ลุกค้าได้เห็นตัวสินค้าที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
[thetext]ลูกค้าต้องสามารถย้อนไปเลือกสินค้าแบบอื่นได้[/thetext]
ยกตัวอย่างเช่น ตอนแรกลูกค้าเลือกดูเสื้อผ้าเฉพาะเบอร์ L เท่านั้น แต่ดูไปดูมา ไม่มีตัวไหนถูกใจ ก็อย่างจะลองดูไซส์อื่น ก็ต้องสามารถให้ลูกค้าเลือกได้ทันที การมีปุ่มตัวเลือกในหน้าแสดงสินค้า จะดีกว่าการต้องให้ลูกค้าต้องนั่งคลิกปุ่ม back ย้อนกลับไปกลับมาครับ
[thetext]ตำแหน่งค้นหาต้อง “ชัดเจน”[/thetext]
เชื่อเถอะครับว่า หลายคนคงไม่ขยันมานั่งคลิกดูลิสต์รายการสินค้าแต่ละหน้าหรอกครับ บางคนเค้าก็มีรายละเอียดสินค้าอยู่แล้ว เค้าก็ต้องการจะค้นหา ว่าในเว็บไซต์ของเรามีของที่เค้าต้องการขายหรือเปล่า ดังนั้น การสร้างช่องค้นหา จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ควรออกแบบให้เด่น เห็นชัด และควรจะมีให้เห็นทุกหน้าครับ
[thetext]ถ้าสินค้าหมดจากสต็อค ก็ต้องบอกด้วย[/thetext]
มันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจนะครับ ว่าบางทีเราก็เลือกสินค้าที่ต้องการจะซื้อ นั่งกรอกรายละเอียดต่างๆนาๆ ไปแล้ว แต่พอสั่งซื้อกลับไม่มีสินค้าอยู่ มันเป็นอะไรที่โคตรรำคาญใจเลย ดังนั้นเว็บไซต์ของเราควรจะมีระบบเช็คสต็อค ถ้าสินค้าเหลือน้อย หรือหมดสต็อคควรแจ้งให้ลูกค้าทราบในหน้ารายละเอียดเลย ลูกค้าจะได้ไม่เสียเวลา แล้วไปมองหาสินค้าอื่นแทน
[thetext]ใช้รูปภาพที่ High Quality[/thetext]
ในฐานะคนออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ ผมเองก็พยายามย้ำหนักย้ำหนาว่า เว็บไซต์เนี่ย แค่รูปเปลี่ยนอารมณ์ก็เปลี่ยน รูปมีผลต่อความรู้สึกของคนเห็นได้มาก ยิ่งเว็บขายของ รูปที่ใช้ก็ควรจะชัดเจน เพราะคุณเองก็ควรตระหนักว่า การขายของในเว็บมันมีข้อจำกัดคือลูกค้าไม่ได้เห็นของจริงๆ ไม่ได้สัมผัส ดังนั้นจึงควรตอบสนองสิ่งเร้าอย่างอื่นให้ได้มากที่สุด จากการศึกษาค้นคว้า ผมได้ความรู้มาว่าการมีภาพประกอบหลายๆภาพ จะช่วยให้คนสนใจสินค้ามากยิ่งขึ้นครับ
[thetext]ทำตะกร้าสินค้าให้ชัดเจน มองเห็นง่าย[/thetext]
ผมไม่ค่อยชินกับการเรียน “ตะกร้าสินค้า” ปกติจะเรียกว่า shopping cart ฮ่าๆ ถ้าหากว่าคุณลองสังเกตเว็บขายของดังๆระดับโลก จะเห็นว่าเว็บไซต์เค้าจะมี shopping cart ที่ชัดเจน เห็นง่าย และจะไม่พยายามส่งลูกค้าไปหน้าตะกร้าสินค้าเด็ดขาดถ้าไม่จำเป็น แต่เค้าจะพยายามให้ตะกร้าสินค้าของเค้ามีรายละเอียดที่มากกว่าการบอกว่า มีสินค้าในตะกร้าเท่าไหร่แล้ว เช่น บอกว่าตะกร้ามีอะไรบ้าง จำนวนเท่าไหร่ คิดเป็นเงินเท่าไหร่ เป็นต้น
[thetext]เมนูนำทางใช้ง่าย[/thetext]
ยิ่งถ้าหากว่าเว็บไซต์ขายของคุณใหญ่แค่ไหน หมวดหมู่มากเท่าใด การสร้างเมนูของเว็บไซต์ก็ยิ่งต้องวางแผนให้ดีครับ การสร้างดรอปดาวน์เมนู สามารถช่วยให้การวางเมนูดูง่ายและเป็นระเบียบมากขึ้น นอกจากนี้การมี breadcrumb ก็จะช่วยให้เว็บของเราใช้ง่ายมากด้วยครับ …อ้ะ! ไม่รู้จัก breadcrumb หรือครับ? ก็ที่ประมาณว่า Home >> Electronics >> Mobile >> iPhone แบบนี้ครับที่เรียกว่า breadcrumb
[thetext]อย่าไปชาร์จราคาในภายหลัง[/thetext]
คุณกับผมเวลาซื้อของ ก็ต้องอยากรุ้ “ราคาจริงๆ” ที่ต้องจ่าย ใช่ไหมครับ ไม่ใช่เห็นขายราคานี้ พอสุดท้ายชาร์จนู่นชาร์จนี่ทีหลัง มันเสียความรู้สึกเบาๆ ฮ่าๆ ดังนั้นเว็บไซต์ของเราควรทำยังไงก็ได้ให้มีการคำนวณค่าใช้จ่ายจริงๆให้ลูกค้าเห็นในตอนนั้นเลย เค้าจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วต้องจ่ายตังค์เท่าไหร่
[thetext]อย่าเยอะ!![/thetext]
ทุกครั้งที่จะอัพเดทเว็บ หรือใส่พวกเนื้อหาในเว็บ พยายามคิดให้มากครับว่า ทำไม ทำไม ทำไม เราถึงต้องการอัพเดทตรงนี้ ใส่ลงไปแล้วมันทำให้เว็บดีขึ้นหรือเปล่า หรือใส่แล้วทำให้เว็บมันแย่ลง ดูรกขึ้น อะไรที่ไม่จำเป็นก็ควรตัดออกครับ จำไว้เสมอครับว่า สิ่งที่เราควรให้ลูกค้าโฟกัสคือสินค้าที่เราต้องการขาย ไม่ใช่ว่อกแว่กไปกับสิ่งอื่นที่ไม่ได้ส่งเสริมงานขายของเรา ^^
[thetext]ทำให้เว็บ Friendly กับ Search Engine (SEO)[/thetext]
ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO บ้างครับว่า มันสามารถปรับแต่งอะไรได้บ้าง h1, h2 ต่างกันยังไง ควรใช้เมื่อไหร่ เพราะเชื่อเถอะครับว่า หลายครั้งมีลูกค้ารู้จักเว็บเราก็จากการค้นหาผ่าน google
[thetext]เชื่อมต่อกับ Social Network [/thetext]
อานุภาพของ Social Network ที่มันรุนแรงจริงๆนะครับ ผมเองเจอกับตัวมาแล้ว เรื่องเจ้าแมงกะพรุน ที่อัพลงเฟส เพียงไม่กี่ชั่วโมงดังเป็นพลุแตก ดังนั้นเว็บของเราก็ควรจะมีความสามารถให้สามารถแชร์ผ่านเฟส อัพทวิตได้ ก็จะเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
[thetext]ที่อยู่ติดต่อเราชัดเจน ติดต่อได้จริง[/thetext]
การซื้อของออนไลน์ สิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในการพิจารณาว่าจะซื้อของจากร้านออนไลน์นี้ดีหรือเปล่า นั่นก็คือการรู้ว่าเว็บไซต์เหล่านี้มีเจ้าของที่ติดต่อได้จริง ไม่ใช่สร้างขึ้นมาแค่หลอกๆ ดังนั้นหน้าติดต่อเราควรจะชัดเจน สามารถติดต่อได้หลายช่องทางครับ
[thetext]มีคำยืนยันจากลูกค้าเก่า[/thetext]
สิ่งนี้จะช่วยการันตีได้มากเลยครับว่า เว็บของเราเชื่อถือได้ คุณอาจจะขอให้ลูกค้าช่วยเขียนคำยืนยันหรือรีวิวให้ว่าร้านของคุณเป็นอย่างไร การที่ลูกค้าเก่าช่วยยืนยัน จะทำให้ลุกค้าใหม่กล้าซื้อสินค้าจากเว็บเรามากขึ้นครับ
บทความนี้ยาวหน่อยนะครับ แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆทุกคน แล้วเจอกันใหม่ครับผม
