สวัสดีครับ วันนี้ผมกำลังเตรียมตัวปฎิบัติภาระหน้าตระเตรียมบางอย่างเกี่ยวกับงานของตัวเองครับ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเตรียมตัวเป็นผู้พูดสำหรับงานบรรยาย หลายๆครั้งที่ผมได้รับเชิญไปบรรยายยังสถานที่ต่างๆ และโดยส่วนมากจะเป็นการบรรยายให้น้องๆที่กำลังเรียนหนังสือได้ฟังถึงประสบการณ์ทำงาน และการใช้ชีวิต ทำให้ผมได้แรงบันดาลใจที่จะเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อนำเสนอมุมมองของการทำงานให้ได้อ่านกันครับ
คำถามสุดฮิตของสังคมปัจจุบันคือ “ทำงานแบบไหนดี?” จะเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือจะเป็นฟรีแลนซ์ดี ผมเคยพูดไปก่อนหน้านั้นในบทความก่อนๆแล้วนะครับว่า จะเป็นอะไรนั้นต้องถามตัวเองว่าเราชอบวิถีชีวิตแบบไหนมากกว่า การเป็นพนักงานประจำก็มีความสุขนะครับ เช่นเดียวกับอาชีพฟรีแลนซ์ก็มีความสุขเหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับลักษณะชีวิตที่เหมาะกับเรามากกว่า ทีนี้คำถามต่อมาคือ “มีสองงานให้เลือก งานหนึ่งเป็นงานที่ทำแล้วชอบแต่เงินไม่ดี กับงานหนึ่งเงินดี แต่ก็ไม่ชอบมากนัก” ในสถานการณ์นี้ ผมพูดแบบเปิดใจไปเลย ก็คือ “ถามตัวเอง” ครับว่า “ตอนนี้เราเดือดร้อนเงินหรือเปล่า?” เราต้องมีภาระที่ใช้จ่ายเงินมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่เดือดร้อนต้องใช้เงินก็เลือกงานที่รักทำแล้วมีความสุข แต่ถ้าชีวิต ณ ตอนนั้นต้องการเงินมาจับจ่ายมาก ยังไงงานที่ให้เงินเยอะมันก็ต้องตอบโจทย์อยู่แล้วครับ
[skill]เพราะชีวิตมันต้องเลือกตามหลักเศรษฐศาสตร์ เลือกอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในแต่ละช่วงเวลา ลำดับความสำคัญของสิ่งที่เลือกจึงแตกต่างกันครับ แม้ว่าในบางอย่างที่เราเลือก ณ ขณะนั้นมันจะไม่ใช่สิ่งที่เราฝันมากที่สุด แต่มันก็คือสิ่งที่จำเป็นที่สุด เราก็ต้องเลือกเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั่นเอง[/skill]
แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกทำงานอะไร สิ่งที่เราควรจะทำให้ได้ ก็คือ “มีความสุขไปกับมันครับ” งานทุกงานต่างก็มีเรื่องท้าทายอยู่ในตัวของมันเองครับ
ผมว่าการทำงานด้วยหัวใจ มันจะทำให้เราทำงานได้เต็มที่ มีความสุขไปกับมัน งานก็ออกมาดีด้วยครับ โดยส่วนตัวผมเองผมเป็นฟรีแลนซ์ ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าผมโชคดีมากที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก และมีความสุขไปกับมัน เพราะปกติเวลาว่างผมก็ชอบออกแบบ ทำงานกราฟิก และเขียนโค้ดอยู่แล้ว ดังนั้นในแต่ละครั้งที่ทำงานผมจึงรู้สึกว่ามันก็คือการดำเนินชีวิตปกติของตัวเองอยู่แล้ว
แต่ชีิวิตการทำงานก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลานะครับ แม้จะเป็นงานที่ผมรัก ก็ไม่ใช่ว่างานนี้จะไม่มีความท้าทาย หรืออุปสรรคเลย จริงๆแล้วผมก็ต้องทำงานหนักเหมือนกัน ทุกครั้งที่ได้โปรเจ็คมาใหม่ ผมต้องนั่งคิดคอนเซ็ปท์ รูปแบบการนำเสนอ ว่าจะทำอย่างไร บางโปรเจ็คผมต้องทำการ research เยอะมาก เพราะศึกษาผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น บางทีหัวแทบระเบิดก็มีครับ ผมจะบอกเสมอว่า งานที่ท้าทายที่สุดของผมคือ “งานออกแบบ” เพราะมันเป็นนามธรรม ความสวยงามมันเป็นปัจเจก ต้องทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าด้วย
หลักการหนึ่งที่ผมพยายามทำเวลาทำงานก็คือ คิดซะว่าเรากำลังทำงานชิ้นนั้นให้ตัวเอง คือถ้าผมเป็นเจ้าของเว็บๆนั้น งานที่ผมออกแบบทำมาให้ ผมชอบหรือเปล่า ดังนั้นในแต่ละงานออกแบบ เบื้องหลังไม่หมูเลยครับ
คนที่่รู้ว่างานของผมมันไม่ได้สบายเหมือนอย่างที่เห็นคือ “แม่” ของผมครับ แม่ของผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าอาชีพโปรแกรมเมอร์คืออะไร นักออกแบบเว็บคืออะไร แต่แม่เคยเห็นผมทำงาน แล้วบอกว่าสัมผัสได้ว่ามันใช้ความคิดเยอะมาก เมื่อก่อนแม่จะบอกว่าผมสบายที่ไม่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องลงแรงกาย แต่พอได้เห็นจริงๆ แรงกายไม่ต้องใช้ แต่แรงสมอง ใช้แบบสุดขั้วครับ ฮ่าๆ
เพราะว่างานไม่ได้สบายตลอดเวลา ดังนั้นการใช้หัวใจในการทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ต่อมาผมขอพูดถึงการใช้ชีวิตครับ
หลังจากเรียนจบแล้ว ชีวิตที่เหลือคือการทำงานครับ ทำงานจนเกษียณเลยก็ว่าได้ นั่นแหล่ะครับที่ทำให้เกือบทุกคนตกอยู่ในวังวนของ “การทำงานจนลืมใช้ชีวิต”
การทำงานหนักเป็นสิ่งที่ดีตราบใดที่มันไม่ได้ทำให้ชีวิตในแง่อื่นสูญเสียไปด้วย
ชีวิตของเราทุกคนไม่ได้มีแต่งาน แต่ยังมีครอบครัว มีเพื่อนฝูง มีอย่างอื่นเข้ามาเกีี่ยวข้องด้วยครับ ถ้าชีวิตการทำงานดีเลิศ แต่ไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย แบบนี้ถามว่ามันโอเคไหม ผมก็ว่าไม่โอเคครับ
[skill2]ผมค่อนข้างรู้จักคนเยอะในหลายๆแวดวงอาชีพและหลากหลายวัย ผมเห็นมีหลายท่านที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีสินทรัพย์หลักหลายล้าน แต่ท่านเหล่านั้นบอกผมว่า ถ้าเลือกกลับไปใช้ชีวิตแบบใหม่ได้ ท่านยอมที่จะมีแบบพออยู่พอกินไม่ขัดสน แต่สามารถใช้ชีวิตในด้านอื่นให้ดีกว่านี้ เพราะตอนนี้พวกท่านมีเงิน แต่สุขภาพท่านเสื่อมโทรม บางคนเป็นโรคมะเร็ง ต้องควบคุมอาหารการกิน เงินที่มีมาก็มาเติมเต็มชีวิตตรงนี้ไม่ได้[/skill2]
เมื่อผมเริ่มทำงานใหม่ๆ มีรุ่นพี่ (พ่อ) ท่านหนึ่งแนะนำให้ผมฟังว่า เมื่อทำงานประมาณหนึ่ง อย่าลืมใช้ชีวิตตัวเอง ก่อนจะไม่มีโอกาสได้ใช้
ไม่จำเป็นต้องมีเงินเก็บเป็นล้าน แล้วค่อยกินอาหารที่อยากกิน ไม่จำเป็นต้องทำงานเก็บเงินจนแก่ แล้วค่อยเที่ยว เพราะอาหารบางอย่างไปรอกินตอนแก่ มันก็กินไม่ได้แล้ว หรือสถานที่เที่ยวบางที่ ไปรอเที่ยวตอนแก่หงำเหงือกมันก็ไม่ไหว แต่ให้ดูความเหมาะสมว่าถ้าจะกินตอนนี้ เที่ยวตอนนี้เรามีความสามารถพอหรือเปล่า
ชีวิตมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ
ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของรุ่นพี่ (พ่อ) ท่านนี้มากๆ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสผมก็จะให้รางวัลชีวิตด้วยการออกเดินทางดูโลกกว้าง ว่ามีอะไรบ้าง ผมใช้หลักการคือ เมื่อเสร็จงานหนึ่งชิ้น ผมจะให้รางวัลตัวเองหนึ่งอย่างครับ เช่น ถ้างานชิ้นนี้เสร็จ ผมจะไปเที่ยวประเทศจีน ถ้างานชิ้นนี้เสร็จผมจะซื้อกล้องใหม่ ถ้างานชิ้นนี้เสร็จ ผมจะเบรคการทำงานสองอาทิตย์ เป็นต้น และทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกเอ็นจอยกับชีวิตมากขึ้นเยอะเลยครับ มีทั้งกำลังใจในการทำงาน และตื่นเต้นที่จะได้รางวัลชีวิตตอบแทน
และนี่ก็เป็นเรื่องราวมุมมองมุมมองหนึ่งของการทำงานที่ผมอยากจะนำมาแบ่งปันนะครับ แล้วเพื่อนๆละครับ มีหลักการทำงานอย่างไรให้มีความสุขบ้าง เอามาเล่าให้ผมฟังบ้างนะครับ การได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มันคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่ดีมากๆอีกหนึ่งวิธีนะครับ ^^ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับผม