สวัสดีครับผม เพิ่งจะกลับมาถึงเมืองไทยสดๆร้อนๆครับ ไปเที่ยวบาหลีและบุโรพุทโธครั้งนี้ขอบอกว่า มันแจ่มมาก ประทับใจอะไรหลายๆอย่าง และผมไปเที่ยวนานเลยครับนั่นก็คือ 10 วันเลยทีเดียว ใช้ชีวิตในบาหลี 8 วัน และที่ยอกยาการ์ต้าอีก 2 วันครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การไปเที่ยวครั้งนี้ให้ได้ติดตามกันครับผม
ก่อนอื่นนั้นผมต้องขอบอกก่อนว่าผมไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ไปเที่ยวแบบไม่ได้วางแผนอะไรเท่าไหร่ครับ แค่จู่ๆอยากไปก็ไป ฮ่าๆ ชีวิตดูอินดี้ดีนะครับ คือว่าผมอยากจะไปเยือนบาหลี เพราะมีเพื่อนชาวบาหลีพอดี ผมก็เลยเลือกวันว่าผมอยากจะไปช่วงวันที่ 14-24 กุมภาพันธ์ครับ ผมก็เปิดเว็บ airasia ขึ้นมาจองตั๋วเลยทันที ค่าตั๋วไปกลับก็ 8500 บาท รวมค่าโหลดกระเป๋าครับ
นั่งเครื่องบินไปบาหลีนั้นใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง และเวลาที่บาหลีจะเร็วกว่าที่ไทย 1 ชั่วโมง ครับ ผมก็นั่งจากดอนเมืองไปลงที่สนามบินเดนบาซาร์ ระหว่างที่นั่งเครื่องบินเค้าก็จะแจกใบตรวจคนเข้าเมืองครับ ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีไม่เหมือนกัน สำหรับประเทศอินโดนีเซียมันจะมีช่องที่ถามว่า “คุณจะพักที่ไหนในอินโดนีเซีย” ผมเองก็ไม่รู้ครับ เพราะไม่ได้จองที่พัก ก็เลยสะกิดถามฝรั่งข้างๆว่า คุณพักที่ไหนครับ แล้วก็ลอกตาม ฮ่าๆ จริงๆ ผมว่าคงไม่ได้ซีเรียสมากครับ แค่กรอกชื่อโรงแรมก็เพียงพอแล้วครับผม
พอถึงที่บาหลี แค่เดินออกจากสนามบินเท่านั้นแหล่ะครับ บรรดาคนขับแทกซี่ทั้งหลายก็จะกรูมาหาผม พร้อมกับยิงคำพูดภาษาอินโดนีเซียมามากมาย ซึ่งผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่แปลกจริงๆครับ เพื่อนผมและคนที่นั่นต่างก็บอกว่า ผมหน้าเหมือนคนบาหลีมาก อันนี้ก็ดีไป ฮ่าๆ เพราะผมชอบบาหลีอยู่แล้ว
ผมก็รอเพื่อนมารับครับ พอเพื่อนมารับปุ๊บ อย่างแรกที่ทำก็คือทานข้าวเที่ยงกันก่อน อ้อตัวเมืองของเค้ารถติดไม่ต่างจากในกรุงเทพฯเลยครับ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมายังร้านอาหารนานหน่อย และอากาศบ้านเมืองเค้าก็ร้อนตับแลบเลยครับ พอถึงร้านอาหาร ผมแปลกใจมาก เพราะร้านก็ค่อนข้างจะโอเค แต่ทำไมเพื่อนผมถึงพากันใช้มือเปิบอาหารละเนี่ย ปรากฎว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ใช้มือมากกว่าใช้ช้อนครับ ดังนั้นถ้าเห็นก็ไม่ต้องตกใจไปนะครับ ส่วนบักสนนะหรือ หึๆ ใช้ช้อนนี้แหล่ะครับ สะดวกดี ไม่มั่นใจว่ามือตัวเองจะสะอาดหรือเปล่า ฮ่าๆๆ
อาหารของบ้านเค้า น้ำพริกจะเผ็ดมาก ผมกินไม่ได้เลยครับ เผ็ดได้ใจจริงๆ และอาหารส่วนใหญ่ก็จะมี “มะพร้าว” เป็นส่วนประกอบครับ แรกๆผมท้องเสียเลย สามวันแรกกินอะไรได้น้อยนิด เพราะรสชาติแปลกลิ้น แต่พอวันที่สี่เริ่มชินกับอาหารบาหลี ผมก็กินซะจนเพื่อนล้อว่ากลายเป็นคนบาหลีไปแล้วนะเนี่ย เพราะบางมื้อเติมข้าวไปห้าหกรอบครับ แฮะๆ
วันแรกไปเที่ยวกับเพื่อนสามคนนี้ครับ ชื่อเอคา พริสต้า และอายู ครับผม สามสาวน่ารักมากๆ เป็นกันเองที่สุด และเป็นคนขับรถพาเที่ยวด้วย ทั้งสามเป็นนักศึกษาอยู่ ^^
หลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็ไปเยี่ยมครอบครัวของเพื่อนผม(เอคา) ก่อนครับ ไปทำความรู้จักกับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อฝากเนื้อฝากตัวระหว่างที่พักที่บาหลีครับ จะว่าไปผมก็หน้าเหมือนครอบครัวนี้อยู่นะครับ ฮ่าๆ กลมกลืนซะไม่มี ทุกคนน่ารักมากๆ เป็นมิตรสุดๆ ผมประทับใจมากๆ นี่คือครอบครัวที่บาหลีของผมครับ คิดถึงจริงๆ ในภาพประกอบด้วยคุณแม่ คุณพ่อ และแดดี ส่วนคนขวามือสุดก็บักสนเองแหล่ะคับ แฮะๆ
หลังจากที่ไปบ้านเพื่อนแล้วผมก็เดินทางไปยังบ้านญาติของเพื่อนครับ เพราะว่าไปพักที่นั่น เนื่องจากว่าบ้านเพื่อนอยู่ในระหว่างการสร้างใหม่ ผมเลยได้พักกับลูกพี่ลูกน้องของเอคา นั่นก็คือครอบครัวของอากุสครับ (อากุสคือลูกพี่ลูกน้องของเอคา)
อากุสเป็นน้องชายที่น่ารักมากครับ นิสัยดี เทคแคร์ผมอย่างดีระหว่างที่ผมพักที่บาหลี บ้านของอากุสเป็นบ้านสไตล์บาหลีเลยครับ มีรายละเอียดเยอะมากๆ ผมเห็นแล้วยังทึ่งในฝีมือการแกะสลักไม้และซีเมนต์
ภาพด้านบนคือภาพบ้านของครอบครัวอากุสครับ จะเห็นว่ามีการแกะสลักละเอียดละออมากเลยครับ ตอนแรกผมเข้าใจว่าเค้าซื้อไม้ที่แกะสลักแล้วมาแปะ แต่จริงๆไม่ใช่นะครับ เค้าเอาไม้ทั้งแผ่นมาแกะกันสดๆเลยครับ อลังการจริงๆ ในภาพประกอบด้วย ผม นิมัน ทันเทอร์ โกมิง ปะอากุส ไดแอนา และปะตุดครับ ครอบครัวนี้น่ารักมากๆ เฮฮาสุดๆ แต่ละคนนี่ทำให้ผมยิ้มได้ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้มีปะตุดคนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษได้(บ้าง) นอกนั้น แหะๆ ภาษาบาหลีล้วนๆครับ ผมก็ต้องให้อากุสกับเอคาเป็นล่ามให้เวลาต้องการสื่อสารกัน
เอาละครับ แนะนำครอบครัวที่ผมไปพักด้วยพอหอมปากหอมคอแล้ว ทีนี้มาดูว่าที่ที่ผมไปเที่ยวนั้นมีอะไรบ้าง ^^
เริ่มต้นด้วยเช้าวันใหม่เช้าแรกที่บาหลี เอคาและอากุสพาผมนั่งมอไซด์ไปชมวิวทิวทัศน์ที่ จังเกาะครับ โอ้โห ทุ่งนาบ้านเขามันสวยงามมากๆ ผมเห็นแล้วก็ตื่นเต้นสุดๆ เพราะโดยส่วนตัวก็ชอบธรรมชาติอยู่แล้ว พอได้มาเจอแบบนี้ถึงกับอยู่นิ่งไม่ได้ หยิบกล้องมารัวๆ ทันที
ลองจินตนาการตามผมดูนะครับ ทุ่งนาสีเขียว ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน มันจะสวยขนาดไหน ฮ่าๆ นาบ้านข้าวอุดมสมบูรณ์มากๆ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำนาแบบขั้นบันไดครับ บ้านเมืองเค้ามีระบบการจัดสรรปันน้ำเพื่อการเกษตรดีมากจริงๆ
บรรยากาศตอนเช้า สดชื่นมากๆ ผมสูดอากาศเข้าปอดให้เต็มที่ เพราะอากาศแจ่มๆแบบนี้หาได้ยากในเมืองกรุงครับ
เป็นเช้าที่มีความสุขมากๆครับ ความประทับใจแรกของผมที่เกี่ยวกับสถานที่ที่บาหลี สถานที่นี่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยครับ คือว่าผมมาพักอยุ่ห่างจากตัวเมืองไกลมาก ในหมู่บ้านก็จะมีแค่ชาวบ้านบาหลีแค่นั้นครับ
นานๆจะได้เจอวิวแบบนี้ผมก็ดื่มด่ำซะให้เต็มที่ อยู่กันจนตะวันขึ้นสูงมาพอสมควรครับ
เสร็จจากชมวิวทุ่งนาในยามเช้าแล้ว ผมก็กลับไปทีบ้านเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังวัด Taman Ayun ครับผม เรื่องประวัตหรือรายละเอียดเกี่ยวกับที่วัดนี้ผมก็ไม่ใคร่จะรู้มากนัก เพื่อนผมเองก็บอกว่า กลับไป google เอาละกันสำหรับรายละเอียด ฮ่าๆ
ในทริปวันนี้มีเพื่อนใหม่เพิ่มเข้ามาอีกคนครับ ชื่อว่า สุกิก ครับผม เป็นน้องที่เครซี่ดี อารมณ์ดี หลุดโลก ฮ่าๆ
วัดนี้พื้นที่ไม่ได้ใหญ่มากครับ แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะดี ชาวบาหลีส่วนมากนับถือศาสนาฮินดูนะครับ ในแต่ละวันเค้าก็จะมีพิธีกรรมอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เป็นเรื่องปกติมากๆสำหรับพวกเค้า อย่างเช่นครอบครัวที่ผมพักด้วย ทุกวันจะมีการทำ “บันทัน” ครับ อารมณ์ประมาณว่าเป็นการทำพิธีเพื่อขอบคุณพระเจ้าของเค้าครับ
บรรยากาศรอบๆตัววัดครับผม ร่มรื่นมากๆ วัดที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นสถาปัตยกรรมคล้ายๆกันครับ สไตล์บาหลี คือหลังจากจะสูงๆแบ่งเป็นระดับชั้น จำนวนชั้นน่าจะมีความหมายนะครับ แต่ให้ตายเหอะ ผมจำไม่ได้ ฮ่าๆ
เนื่องจากว่าผมมาเที่ยวที่นี่พักอยู่หลายวันครับ ผมจึงจะแบ่งเป็นตอนๆในการเขียนบล็อกครับผม เพื่อไม่ให้บล็อกยาวไป สำหรับเนื้อหาของตอนนี้ขอจบลงที่วัดนี้ละกันนะครับ แล้วติดตามตอนต่อไปว่าผมไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ^^ เจอกันใหม่ครับผม