สวัสดีครับผม กลับมาพบกับบทความในเว็บบักสนกันอีกครั้งนะครับ สำหรับครั้งนี้ผมนำประเด็นที่ผมเจอเวลาไปบรรยายให้น้องๆนักเรียนและนักศึกษาฟังเกี่ยวกับการทำเว็บ และน้องๆก็อยากจะรู้ว่าผมทำงานอยู่ที่ไหน เมื่อผมตอบไปว่าผมทำเป็นฟรีแลนซ์อยู่ หลายๆคนก็สนใจอยากรู้ว่าทำไมผมถึงเป็นฟรีแลนซ์ ผมก็เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมา เผื่อคนที่สนใจในอาชีพฟรีแลนซ์จะได้อ่านด้วย
ก่อนจะไปพูดถึงอาชีพฟรีแลนซ์ ผมว่าเรามาเริ่มต้นที่การทำงานของผมก่อนดีกว่า ผมเริ่มต้นทำงานเกี่ยวกับเว็บไซต์ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นปีที่สองในมหาวิทยาลัยครับ โดยตอนนั้นก็ทำงานพาร์ทไทม์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งของแคนาดา แต่ผมทำงานที่ไทยนะครับ ใช้ระบบ Conference เอา ซึ่งผมก็มีโอกาสทำงานกับบริษัทแห่งนี้เกือบสองปี เพราะพออยู่ปีสี่ผมต้องโฟกัสกับการทำโปรเจ็คจบ จึงไม่ได้ทำงานให้กับที่นั่นต่อ
และเนื่องจากการได้ทำงานด้านนี้ตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสือ ทำให้ผมรู้เกี่ยวกับโมเด็ลตลาดในวงการนี้ การคิดราคา ระยะเวลาในการทำ ผนวกกับนิสัยส่วนตัว ผมไม่ชอบนั่งอยู่ในสถานที่เดิมๆ เข้างานรูทีน เข้าแปดออกหก แต่ผมชอบอารมณ์ประมาณว่า ทำงานที่ไหนก็ได้ อยากทำตอนไหนก็ได้ ไม่อยากตื่นแต่เช้ารีบไปตอกบัตรเข้าออฟฟิศตบตีขึ้นรถแย่งคนอื่น
ตอนผมเรียนจบมาใหม่ๆ ผมคิดอยู่นานนะครับว่าผมจะเลือกเดินทางไปยังทิศทางไหน จะเข้าไปในออฟฟิศ หรือจะมานั่งทำงานเป็นเจ้านายตัวเอง ตอนนั้นไม่ได้มีเงินติดตัวเยอะนะครับ มีอยู่ก้อนหนึ่ง แต่ก็เอามาจ่ายค่าประกันเช่าบ้านก็แทบจะหมดแล้ว ซึ่งจากที่เคยศึกษามามีคนแนะนำว่าจะเป็นฟรีแลนซ์ต้องมีเงินเก็บอย่างน้อยเท่ากับเงินเดือนที่เราอยากได้รวมกันหกเดือน แต่ผมมีไม่ถึงหรอก ฮ่าๆ สุดท้ายผมคำนวณดูแล้ว ถ้าผมต้องการมีรายได้เท่ากับเพื่อนๆที่ทำงานออฟฟิศ ผมก็หางานให้ได้อย่างน้อย สิบชิ้น ภายในหนึ่งปี ผมถามตัวเองว่า “ผมทำไม่ได้เหรอ?” และผมก็บอกกับตัวเองว่า ผมต้องทำให้ได้สิ แค่หางาน 10 Projects ในหนึ่งปีเอง
โชคดีครับที่ผมทำงานมาก่อน ทั้งในและต่างประเทศ ผมจึงมีลูกค้าที่เคยทำงานให้ ลูกค้าเก่าๆก็แนะนำเพื่อนฝูงให้รู้จักผมในฐานะของคนทำเว็บไซต์ ผมก็เลยได้งานที่มาจากการบอกปากต่อปากออกไป
เหตุผลหลักๆที่ผมอยากทำงานเป็นฟรีแลนซ์ เพราะผมต้องการมีอิสระในด้านความคิด และการใช้ชีวิตครับ
พอพูดแบบนี้หลายคนก็เข้าใจว่ามันเป็นชีวิตที่ไม่ต้องแบกรับภาระ ไม่เครียด ไม่กดดัน จริงๆมันก็ไม่เชิงทั้งหมดนะครับ อาชีพไหนๆก็มีภาระให้รับผิดชอบด้วยกันทั้งนั้น อย่างฟรีแลนซ์ก็ต้องรักษาวินัยให้กับตัวเองให้ได้มากๆ ทำเองทุกอย่างครับ หางานเอย นั่งดีลงานเอย ทำ TOR ทำบัญชี นั่งออกแบบ นั่งเขียนโค้ด ไปถ่ายเอกสาร โอย สาระพัดเท่าที่จะทำได้ ผมว่ามันก็เหนื่อยนะ แต่มันเหนื่อยแบบมีความสุข เพราะการที่เราได้ทำงานพวกนี้ นั่นหมายความว่า “เรากำลังมีงานทำ“ และถ้ามีงานทำ “เราก็ได้เงิน” ไว้เลี้ยงชีพ ถ้าเป็นฟรีแลนซ์แล้วแทบจะไม่ได้ทำงานเลย อันนี้เครียดกว่านะครับ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ฮ่าๆ
สิ่งที่ท้าทายมากๆในการทำฟรีแลนซ์ของผมคือ เรื่องรายได้ครับ ฟรีแลนซ์ไม่มีเงินเดือนประจำ ดังนั้นเราจะรู้สึกท้าทายมากว่ามีงานในมือเท่าไหร่แล้ว จะอยู่รอดได้หรือเปล่า ฮ่าๆ หลายๆคนผันตัวมาเป็นฟรีแลนซ์เพราะบอกว่าเบื่องานประจำ แต่ก็มักจะมาตันเรื่องรายได้ เพราะฟรีแลนซ์มือใหม่ อาจจะยังมีงานในมือไม่เพียงพอ ทำให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนไม่ค่อยดี ก็เลยต้องยอมแพ้กับการเป็นฟรีแลนซ์ไปหลายคนครับ
ข้อดีของการเป็นฟรีแลนซ์จากประสบการณ์ส่วนตัว
อย่างแรกเลยเนี่ย ผมรู้สึก “มีความสุขมากๆ” แม้งานจะเยอะ แต่มันก็คืองานที่เราทำเพราะเรารัก มันคือตัวที่บอกว่า เห้ยเดือนนี้แกไม่อดตายแล้วบักสนเอ้ย ทุกครั้งที่มีคอนแทคงานเข้ามา มันทำให้หัวใจพองโตจริงๆนะครับ ไม่รู้สึกว่างานที่เราทำมันแค่ทำไปวันๆ แต่มันคืองานที่ทำเพราะเราอยากทำจากใจเราจริงๆ
อย่างต่อมาคือเรื่องของ “เวลา” ข้อนี้มันตอบ Life Style ของผมมาก ผมชอบเดินทาง ผมชอบแบกคอมไปนั่งชิลๆที่ไหนก็ได้ นั่งหาแรงบันดาลใจในการทำงาน ผลงานที่ออกแบบมาส่วนใหญ่ เกิดขึ้น ณ ตอนที่ผมกำลังชิลกับชีวิตครับ ชีวิตดีไซน์เนอร์มันไม่ง่ายเท่าไหร่ ยิ่งถึงคราวไอเดียตัน ต่อให้เอาปืนมาจ่อหัว บางทีก็คิดไม่ออกเลยเหอะ ฮ่าๆ ผมสามารถควบคุมได้ว่า ถ้าเดือนนี้ผมอยากพักผ่อน ผมก็งดรับงาน ไปเที่ยวก่อนแล้วค่อยกลับมารับงานใหม่ ทำให้ไม่ต้องกังวลใจไป สนุกดีครับ
ประเด็นที่สาม “มีโอกาสได้ลองทำอย่างอื่น” เอาเข้าจริง ถ้าเราวางแผนชีวิตดีๆ ผมค้นพบว่า ผมมีโอกาสได้ลองทำสิ่งอื่นๆเยอะมากครับ เช่น ถ้าผมรับโปรเจ็คมาแล้วทำเสร็จเร็ว มันก็จะมีเวลาเหลือ ถ้าผมไม่อยากจะรับงานเพิ่มแล้วสำหรับเดือนนั้น ผมก็เอาเวลาที่เหลืออยู่ไปลองทำอย่างอื่น เช่น ไปรับสอนทำเว็บไซต์ ออกไปบรรยาย เป็นวิทยากรรับเชิญ เป็นต้น
ฝึกสกิลหลายๆทักษะ เมื่อก่อนสมัยเรียน ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าจะเรียนวิชา System and Analysis ไปทำไม อะไรคือการนั่งเก็บนั่งวิเคราะห์ข้อมูล การตลาดคืออะไร Viral Marketing, Internet Marketing, Brand identity ศัพท์เหล่านี้แทบจะไม่เคยอยู่ในหัวสมองผมเลยครับ แต่เมื่อก้าวมาเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว มันก็เปิดโอกาสให้ผมได้ก้าวไปสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ เนื่องจากต้องทำเองทุกอย่าง ก็เลยต้องศึกษาเองทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการงานและการทำธุรกิจครับ ผมมองว่ามันเปิดโอกาสให้เราได้พัฒนาตัวเองได้ดีเลยแหล่ะครับ
เราสามารถ “เลือก” งานที่จะทำได้ จริงๆนะครับ เมื่อเรามีทักษะและประสบการณ์ที่มากพอแล้ว วันหนึ่งเราจะเลือกได้ครับว่า เราจะทำงานชิ้นไหน งานไหนเหมาะกับเรา งานไหนที่เราควรปฏิเสธ เมื่อก่อนนั้นเป็นฟรีแลนซ์ใหม่ๆ งานที่เข้ามาผมก็ Say YES ตลอดครับ แต่ทุกวันนี้ผมเลือกเฉพาะงานที่ผมอยากทำด้วยมาก (ส่วนหนึ่งก็มาจากงานคอนแทคมาเยอะมาก แต่แยกร่างไม่ได้ครับ เลยต้องวิเคราะห์จากหลายๆปัจจัย)
และอีกอย่างหนึ่งที่ผมว่ามันคุ้มค่ามากของการเป็นฟรีแลนซ์ คือการได้เจอคนเจ๋งๆเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการที่ติดต่อมาให้ผมทำงานให้ ทุกท่านล้วนมีแนวคิดที่ฟังแล้ว ก็บอกได้เลยว่า สมแล้วที่ก้าวมาถึงขั้นนี้ หรือการได้เจอเพื่อนใหม่ๆในวงการที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เพื่อนใหม่นอกวงการที่ผมเอามาเป็นหนึ่งในพลังสร้างแรงบันดาลใจ มันเปิดโอกาสให้ผมได้มีคอนเน็คชั่นที่กว้างขวางมากขึ้นจริงๆครับ
อยากจะบอกอะไรถึงคนที่อยากจะเป็นฟรีแลนซ์บ้าง?
“จงเตรียมพร้อม” เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอครับ ถ้าคิดจะมายังสายนี้ เตรียมพร้อมตัวเอง เตรียมพร้อมความรู้ เตรียมพร้อมหัวสมองที่จะรับเรื่องใหม่ๆ เตรียมพร้อมที่เจอลูกค้าหลากหลายประเภท เตรียมพร้อมที่จะต้องทำงานเองแบบ multi tasking
อาชีพฟรีแลนซ์หลายๆคนมองว่ามันเท่ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แบกคอมเดินหล่อๆ นั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ซึ่งมันก็จริงถ้าเราเป็นฟรีแลนซ์ที่มีประสบการณ์ที่มากพอแล้วครับ แต่ถ้าฟรีแลนซ์ใหม่ๆเนี่ย การมานั่งมาเดินหล่อๆ มีให้เห็นไม่ค่อยมาก เพราะช่วงแรกเราต้องทำการบ้านหนักมาก เพื่อให้คนรู้จักในสายงานนี้ และเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีงานมากพอที่จะหล่อเลี้ยงชีวิต
ถ้าคิดจะเป็นฟรีแลนซ์ ต้องฝึกทักษะการสื่อสารนะครับ ผมเจอน้องคนหนึ่งบอกว่าเป็นคนพูดน้อย อธิบายอะไรไม่ค่อยเก่ง ซึ่งถ้ามาทำงานแล้วอธิบายอะไรไม่ชัดเจนเนี่ย อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเวลาทำงานได้ครับ การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นมาก อย่าลืมว่าเราต้องพรีเซนต์งานเอง ไม่มีฝ่ายการตลาดมานั่งทำส่วนนี้ให้เราครับ
“อย่าท้อถอยง่ายๆ” ครับ อาชีพฟรีแลนซ์ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวครับ ยิ่งในวงการไอทีแบบผม มีคนทำงานนี้อยู่ทั่วโลก บางคนไม่มีงานเข้ามาเลยก็เครียด เกิดสภาวะอยากยอมแพ้ ซึ่งก่อนจะยอมแพ้ ลองถามตัวเองดูก่อนครับว่า ทำไมถึงไม่มีงานเข้ามา เราทำให้คนอื่นรู้จักเราดีพอหรือยังว่าเราทำงานด้านนี้นะ และผลงานที่เราสร้างสรรค์มันเจ๋งพอที่จะให้ลูกค้าติดต่อมาหรือเปล่า … มีหลายอย่างที่เราต้องมานั่งวิเคราะห์ครับ พอมาทำงานแบบนี้ ทำให้ผมรู้เลยว่า การเป็นเจ้านายตัวเอง มันไม่ได้ง่ายดายไปเสียทุกอย่าง มันต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีครับ
ท้ายที่สุดนี้ ในฐานะของฟรีแลนซ์คนหนึ่ง ผมก็อยากจะฝากไว้ครับว่า ฟรีแลนซ์ไม่ใช่อาชีพที่เป็นไปเพียงเพื่อความเท่ ตามกระแส แต่มันเป็นอาชีพที่ท้าทาย และคนจะมาทำอาชีพนี้ต้องมีวินัยมากๆถึงจะอยู่รอดได้ครับ ^^